ข่าวสาร

ราคาทองในประเทศเช้านี้ปรับลงบาทละ 200 ดอลลาร์แข็งค่ากดดัน

November 11, 2021
ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday March 15, 2022 10:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) สมาคมค้าทองคำ รายงานว่า ราคาขายปลีกทอง (ทองคำ 96.5%) ในประเทศ เมื่อเวลา 09.27 น. ปรับลดลงจากเมื่อวานนี้ บาททองคำละ 200 บาท โดยราคาทองคำแท่ง รับซื้อเข้าบาททองคำละ 30,750.00 บาท ขายออกบาททองคำละ 30,850.00 บาท ส่วนทองรูปพรรณ รับซื้อเข้าบาททองคำละ 30,198.72 บาท ขายออกบาททองคำละ 31,350.00 บาท บทวิเคราะห์จาก บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุว่า ราคาทองคำ Spot เมื่อวานนี้ปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้น ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี นอกจากนี้ นักลงทุนเทขายทองคำจากการคาดหวังการเจรจาระหว่างรัสเซีย-ยูเครนรอบที่ 4 อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อสรุป และจะเริ่มการเจรจาครั้งใหม่ในวันนี้ ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ถือครองทองคำเท่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แนวโน้มราคาทองคำ คาดปรับลงสู่แนวรับ 1,940 ดอลลาร์ โดยราคาทองคำมีแนวรับ 1,940 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปที่ 1,930 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 1,970 ดอลลาร์ และ 1,980 ดอลลาร์
อ่านเพิ่มเติม >

“ทองคำ” มีโอกาสสร้างจุดสูงสุดใหม่ โลกเผชิญความขัดแย้งปัจจัยหนุนราคา “ทองคำ-น้ำมัน” ไปต่อ

November 10, 2021
นักลงทุนรุ่นใหม่ประเมินโลกเผชิญความขัดแย้งระหว่างประเทศระยะยาว เป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ จับตาธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงคราม ล่าสุดแนวโน้มราคา “ทองคำ-น้ำมัน” เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน ด้านบิทคอยน์ยังไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ ราคายังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขณะที่ตลาดหุ้นโลกน่าสนใจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวจากโควิดในระยะยาว นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า “ทองคำ” มีโอกาสจะเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ดีในปีนี้ เนื่องจากโลกมีความเสี่ยงเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างประเทศตลอดทั้งปี โดยประเมินความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงในระยะยาว แม้ว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายได้ แต่ทั่วโลกจะหันมาจับตาการเคลื่อนไหวของรัสเซียหลังจากนี้ “ประเด็นของรัสเซียกับยูเครนน่าจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ปัญหาความขัดแย้งของโลก ความไม่ลงรอยของกลุ่มผู้นำประเทศเดินหน้าเข้าสู่ภาวะตึงเครียดในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไปอีกนาน โดยผลการโหวตในสหประชาชาติได้สะท้อนแล้วว่าโลกถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายสหรัฐอเมริกา ที่มี NATO เป็นแกนนำกับฝั่งทางรัสเซีย ขณะที่ จีน ยังมีประเด็นอ่อนไหวของไต้หวันที่รอจะเกิดขึ้นอีก ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ทุกฝ่ายมองแล้วว่าเป็นตัวเลือกปลอดภัยอันดับที่หนึ่ง หากโลกเข้าสู่ภาวะไม่แน่นอนและน่าจะเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ด้วย” ประกอบกับ “ทองคำ” ยังมีประเด็นเรื่องของการเป็นสินทรัพย์ที่สามารถบริหารความเสี่ยงกับอัตราเงินเฟ้อได้ ถ้าหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) นำปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างประเทศมาใช้ในการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยช้าลงกว่าที่คาด ทองคำ ยังมีโอกาสได้รับปัจจัยหนุนจากเงินเฟ้อ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับสูง จากราคาน้ำมันที่ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องด้วย ทางด้านปัจจัยทางเทคนิค ราคาทองคำ ได้ทะลุกรอบราคาแนวโน้ม Sideway ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้วออกมาได้ หากราคาไม่ลงมาต่ำกว่าระดับ 1,840 ดอลลาร์สหรัฐฯ ยังถือว่าเป็นเพียงแค่การย่อตัวเพื่อที่จะปรับตัวขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 2,077 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีโอกาสที่จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ จึงมองว่าควรมีทองคำติดอยู่ในพอร์ตในปีนี้ โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับตัวขึ้น 7.8% ขณะที่ “น้ำมัน” เป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ปรับตัวขึ้นกว่า 50% แล้ว นายณพวีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ราคาบิทคอยน์มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นในระดับสูง จึงไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง แต่ถูกจัดให้เป็น Risky Asset มากกว่า สังเกตว่าตลาดหุ้นทั่วโลกถูกเทขาย บิทคอยน์จะได้รับแรงกดดันไปด้วย โดยแนวรับสำคัญที่ต้องจับตาคือจุดต่ำสุดของรอบนี้ที่ 33,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าไม่หลุดจากระดับนี้ ราคาบิทคอยน์จะยังคงเคลื่อนตัวในกรอบแบบ Sideway “ในระยะสั้น หากความตึงเครียดระหว่างระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงอยู่ ราคาบิทคอยน์คงไม่กลับมาเป็นขาขึ้น ยกเว้นแต่ว่ารัสเซียจะหันมาใช้งานบิทคอยน์อย่างจริงจัง แต่หากบิทคอยน์ถูกนำมาใช้เป็นระบบการเงินทางเลือกในภาวะสงครามดังกล่าว ก็น่าจะเป็นการเสริมปัจจัยพื้นฐานบิทคอยน์ที่ดีขึ้นในระยะยาว” ด้านตลาดหุ้นทั่วโลก หากดูจากกราฟเทคนิคจะเห็นว่าดัชนีส่วนใหญ่ลงมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือดัชนีตลาดหุ้นเยอรมนี และดัชนี EURO Stoxx50 ที่ติดลบลง 17% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงดัชนี NASDAQ ที่ติดลบ 15% “ตลาดหุ้นยังคงน่าลงทุน เพียงแต่ต้องรอให้ภาวะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน มีทางออกที่ชัดเจนเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นการสงบศึก หรือ มีฝ่ายแพ้-ชนะ ที่ชัดเจน การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้น เป็นเพียงปัจจัยเชิงจิตวิทยา หากเลือกลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาวได้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังไวรัสโควิด เช่น กลุ่มค้าปลีกและท่องเที่ยว” สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ คือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) วันที่ 16 มีนาคมนี้ ที่เดิมคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.50% ในครั้งเดียว อาจจะเป็นไปได้ว่าจะขึ้นเพียงแค่ 0.25% รวมถึงความคิดเห็นจากประธาน FED ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะนำไปสู่ทิศทางราคาของแต่ละสินทรัพย์ต่อไป
อ่านเพิ่มเติม >

สภาทองคำโลก ชี้ดีมานด์ทองคำปี’65 แข็งแกร่ง ขึ้นดอกเบี้ยกระทบวงจำกัด

October 6, 2021
สภาทองคำโลก ประเมินปี’65 ความต้องการทองคำยังคงแข็งแกร่ง แม้จะมีปัจจัยลบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด แต่เชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะกระทบทองคำในวงจำกัด พร้อมชี้ 3 ความแตกต่างทองคำและคริปโทฯ-แนะถือทองคำ 5-15% ของพอร์ต วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565 แอนดรูว์ เนย์เลอร์ (Andrew Naylor) ผู้บริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมจีน) สภาทองคำโลก กล่าวว่า ความต้องการทองคำทั่วโลก (ไม่รวมตลาด OTC) ในปี 2564 ฟื้นตัวขึ้นนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 มาอยู่ที่ 4,021 ตัน ซึ่งในไตรมาสที่ 4 ความต้องการทองคำทั่วโลกเพิ่มขึ้นเเตะ 1,147 ตัน ซึ่งถือเป็นระดับรายไตรมาสที่สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ในปี 2562 เป็นต้นมา และเพิ่มขึ้นเกือบ 50% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญเพิ่มขึ้น 31% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 ปีที่ 1,180 ตัน เนื่องมาจากนักลงทุนรายย่อยมองหาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยท่ามกลางสภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 ส่วนความต้องการทองคำในประเทศไทยปี 2564 ที่ผ่านมาแนวโน้มความต้องการทองคำของผู้บริโภคแตะระดับ 12 ตัน ในไตรมาสที่ 4 หรือเพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงความต้องการเครื่องประดับทองรายปีของประเทศไทยอยู่ที่ 8 ตัน เพิ่มขึ้น 38% จาก 6 ตัน ในปี 2563 และความต้องการใช้เครื่องประดับเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันในการเติบโตแบบปีต่อปี เรียกได้ว่าเป็นไตรมาสที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เกิดการระบาดโควิด-19 และสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยได้ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญยังเพิ่มขึ้นแตะ 29 ตัน เทียบกับปี 2563 ที่มีการขายสุทธิที่ 87 ตัน “ฉะนั้นเราเห็นดีมานด์ในทองคำแท่งและเหรียญเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนจากการถอนลงทุนสุทธิไปเป็นการลงทุนเชิงบวกสุทธิ การรวมกันระหว่างราคาทองคำที่ลดลงและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและค่าเงินบาทที่อ่อนลงมีบทบาทสำคัญในแนวโน้มการลงทุนนี้เป็นอย่างยิ่ง” สำหรับแนวโน้มทองคำใน 2565 คาดว่าความต้องการในทองคำยังมีอยู่เนื่องจากทองคำจะมีกลุ่มที่มีความต้องการอยู่ 2 กลุ่มคือ กลุ่มผู้บริโภค และ กลุ่มสถาบัน โดยในระดับกลุ่มผู้บริโภคเชื่อว่าความต้องการของกลุ่มนี้ยังแข็งแกร่งและยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มสถาบันความต้องการอาจจะลดลงเล็กน้อย โดยข้อมูลจากสภาทองคำโลกระบุว่าเมื่อเราเข้าสู่ปี 2565 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณจุดยืนที่แข็งกร้าวมากขึ้น การคาดการณ์ระบุว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยประมาณ 3 ครั้งในปีนี้และเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้แม้จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่อัตราจริงยังคงต่ำทำให้ในปี 2565 ทองคำอาจเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่คล้าย ๆ กับปี 2564 ที่ผ่านมา ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อทองคำ แต่หากดูจากในอดีตก็แสดงให้เห็นว่าผลกระทบอาจมีจำกัดและจะค่อย ๆ ฟื้นตัว ในขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีนี้และความเป็นไปได้ที่ตลาดจะอ่อนตัวลงมีแนวโน้มที่จะรักษาความต้องการทองคำไว้เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ทองคำอาจยังคงได้รับการหนุนจากผู้บริโภคและอุปสงค์ของธนาคารกลาง ขณะที่ประเด็นทองคำและคริปโทเคอร์เรนซี แอนดรูว์ เนย์เลอร์ กล่าวว่า ทองคำและคริปโทเคอร์เรนซี มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่ 3 ส่วน คือ 1.ความเสี่ยงด้านการเติบโต เนื่องจากทองคำเป็นสิ่งที่จับต้องได้ แต่คริปโทฯ นักลงทุนไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนขายคือใครซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก 2.การกำกับดูแล ซึ่งก็มีหลาย ๆ ประเทศที่ออกมาแบนคริปโทฯ และหลายประเทศที่การออกมากำกับดูแลรวมถึงอนุญาตให้มีการเก็บภาษีได้ อย่างประเทศอินเดียที่ออกมาประกาศเก็บค่าภาษีคริปโทฯ สูงถึง 30% และ 3.ผลการดำเนินงานทางการเงิน (Financial Performance) ของคริปโทฯที่แตกต่างกัน ซึ่งทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่หลายคนยังมีความต้องการแต่คริปโทฯจะเป็นความต้องการของคนบางกลุ่มเท่านั้น อย่างไรก็ตามมองว่าการที่มีคริปโทฯ ทำให้ทองคำรับรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องปรับตัวจากเดิม ให้มีการซื้อขายผ่านออนไลน์มากขึ้นเพื่อให้ทองคำปรับตัวและเติบโตต่อไปได้ ทั้งนี้คำแนะนำสำหรับการจัดพอร์การลงทุนในทองคำ โดยดูจากการจัดพอร์ตการลงทุนของทั่วโลกจะแนะนำให้ลงทุนในทองคำอยู่ที่ประมาณ 5-15% ของพอร์ตการลงทุน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ล่ะประเทศด้วย
อ่านเพิ่มเติม >